รอยหลุมสิวแผลเก่าทีจองจำอยู่บนใบหน้าเรา ตอนเป็นสิวว่าปวดแล้ว หลังสิวหายยังทิ้งปัญหาให้ปวดใจ นั้นคือ “รอยหลุมสิว” รวมถึงรอยดำ รอยแดง จากสิวที่ใครๆก็ไม่อยากจะเจอ เพราะรักษาได้อยากกว่าสิวเสียอีก วันนี้หลายๆคนกำลังประสบปัญหาว่าหลังจากสิวหายแล้ว แต่จะทำยังไงให้เจ้ารอยหลังเป็นสิวนั้นหายไปด้วย วันนี้แอดมิน จึงมาแบ่งปันเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับว่ารอยหลังการเกิดสิวนั้นมีกี่แบบ และจะจัดการกับรอยเหล่านี้อย่างไร
รอยหลุมสิว รอยแผลเป็นหลังสิวหายมีกี่แบบ
ถ้าจะพูดถึงปัญหาสิวหลังสิวหายจริงๆ ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่าทุกคนต้องเจอแน่ๆ ไม่มีทางที่สิวจะหายแล้วผิวหน้าเนียนกริบทันที โดยเราจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ หลักๆคือ การเกิดรอยแผลเป็นจากสิว และ รอยดำ รอยแดงจากการเกิดสิว ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีลักษณะแตกต่างกัน ที่ยังไงพอสิวหายแล้วเราต้องเจอแน่ แล้วคุณล่ะอยากจะเป็นเพื่อนกับรอยแบบไหน หลายคนบอกไม่อยากเป็นทั้ง 2 แบบ แอดมินจะเล่าให้ฟังว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
รอยดำจากสิว (Post acne hyperpigmentation) PIH หรือ Dark Mask
คุณคือผู้ที่เลือกได้ถูกแล้วครับ ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นรอยดำจากสิวหลังสิวหาย โดยส่วนใหญ่แล้วรอยดำๆแดงๆที่เราเห็นหลังสิวหายนั้น มักเกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื้อบริเวณรอบๆ และเกิดขึ้นเนื่องจากขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณรอบและเม็ดสีเมลานินที่ผิวถูกผลิตเพิ่มมากขึนเป็นพิเศษจากกระบวนการที่ร่างกายพยายามรักษาแผลสิว พอสิวหายก็เลยทิ้งรอยดำไว้
การเกิดรอยดำจากสิวนั้น จะมีสีที่เข้มมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน หากคุณเป็นคนที่มีผิวขาวรอยดำที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดมากกว่าคนผิวคล้ำ แต่รอยดำที่เกิดขึ้นนั้นเราไม่ต้องกังวลมากเกินไป เนื่องจากรอยดำนั้นรักษาให้หายและจางลงได้ตามกาลเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากรอยหลุมสิวที่เราจะพูดถัดไปต่อจากนี้
รอยหลุมสิว ( Acne Scar)
ถ้าคุณเกิดโชคไม่เข้าข้าง รวมถึงก่อวีรกรรมเองขณะเป็นสิว เช่นการกดสิว บีบสิวแบบผิดๆ คุณจะได้สิ่งที่เรียกว่า “หลุมสิว” หรือ รอยแผลเป็นจากสิวตามมาหลังสิวหาย โดยรอยแผลเป็นจากสิวนั้น เราอาจมองเห็นได้ไม่ชัดเนื่องจากไม่ได้เป็นรอยดำมากนัก ซึ่งอาจจะเห็นต่อเมื่อผิวหน้าสะท้ายแสงไฟ แต่มันเป็นปัญหาที่รักษาให้หายขาดได้ 100% ยากและการรักษารอยหลุมนั้นก็ใช้ค่าใช้จายที่มาก หรือบางคนอาจไม่ได้ผิวที่เรียบเนียนบริเวณนั้นกับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเวลาเป็นสิวต้องพยายามกดสิวแบบผิดวิธ๊นั้นเอง โดยรอยหลุมสิวนั้นเรา แบ่งออกเป็น 4 แบบ
- รอยหลุมแคบแต่ลึก (Ice Pick)
- รอยหลุมแบบนี้จะมีลักษณะเหมือน แท่งน้ำแข็งที่ปักลงไปที่ผิวเรา โดยจะมีลักษณะหลุมตรงปลายที่เล็กกว่าความกว้าง อาจมองไม่เห็นถ้าเป็นไม่เยอะหรือผิวหน้าไม่กระทบแสง ขอยมีลักษณะหยักเล็กน้อย และแต่ละหลุมมีขนาดไม่เท่ากัน
- รอยหลุมแบบกว้างเป็นหลุมๆ (Boxcar scars)
- ซึ่งหลุมแบบนี้เกิดจากการที่คอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณนั้นถูกทำลายจนเป็นวงกว้าง รอยหลุมสิวแบบนี้เป็นแบบที่รักษาให้กลับมาเป็นปกติยากเช่นกันเนื่องจากเนื้อเยีอบริเวณนั้นถูกทำลายไปมาก ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษานาน และมีค่าใช้จ่างมากเช่น การยิงเลเซอร์และการทำ Dermablash หรือฉีก Microsilicone เข้าไปที่ผิว
- รอยแผลเป็นจากการกลิ้ง (Rolling Scars)
- การที่มันถูกตั้งชื่อแบบนี้ เนื่องจากรอยแผลนั้นมีลักษณะเหมือนมีใครเอาอะไรมากลิ้งบนผิวหน้าของเราโดยรอยแบบนี้มักจะมีลักษณะเป็นรอยต่อเนื่องเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน โดยลักษณะของรอยเหมือนถูกกด และมีขอบที่เป็นเหมือนเนินไม่เท่ากันตามรูป
- รอยแผลเป็นนูนและแผลคีลอยด์ (Hypertrophic or Keloid)
- รอยแผลทั้ง 2 แบบนี้ มักเกิดจากที่คอลลาเจนถูกผลิตมากเกิดไปช่วงขณะที่ซ่อมแซมแผลหรือหลังที่แผลหายแล้ว โดยข้อแตกต่างระหว่าง Hypertrophic และ Keloid นั้นคือแผลเป็นแบบ Keloid มักไม่เกิดทันทีหลังแผลหาย และมักจะแพร่ขยายกินเนื้อที่ไปยังพื้นที่บริเวณอื่นๆที่และขยายตัวมากกว่า Hypertrophic scar
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นรอยหลุมสิวแบบไหน ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดกับผิวหน้าของเรา แต่ถึงอย่างไรเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้หากเป็นสิวแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือพยายามป้องกันอย่างให้สิวเกิด หรือถ้าหากเกิดสิวแล้ว เราก็ไม่ควรไปกดหรือบีบสิว เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยหลุมสิว ซึ่งรักษาและจางหายได้ยากกว่ารอยดำ แล้วมาพบกับเรื่องสิวๆอีกในบทความถัดๆไปกันได้เลย วันนี้คุณดูแลผิวหน้าดีแค่ไหน ถามผิวคุณดู จบแล้วว
สนใจสั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิว คลิก!!!